เมื่อเราตั้งครรภ์ รูปร่างของเราก็มีการเปลี่ยนแปลง เพราะการเติบโตของทารกก็ย่อมมีผลกระทบต่อตัวของเรา เพราะอาจจะไปทับเส้นประสาท หรือว่าเส้นเลือดใดๆ โรคที่มักจะเกิดขึ้นกับคนที่ท้องจึงมีดังต่อไปนี้
- โรคปวดหลัง
โรคปวดหลังมักจะเป็นในช่วงที่ท้องแก่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่ท้องแก่ก็มักจะมีอาการปวดหลัง เพราะว่าข้อต่อของกระดูกเชิงกรานและเอ็นยึดข้อต่อกระดูกสันหลังจะหย่อนตัว หน้าท้องก็มีขนาดใหญ่ขึ้น หลังบริเวณเอวก็จะแอ่นตามมาข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ปวดหลังได้
วิธีแก้ก็คือ เวลาที่เราทำกิจวัตรประจำวัน อย่างนั่ง นอน หรือว่ายืน ก็ให้ควบคุมให้อยู่ในลักษณะท่าทางที่ถูกต้อง เวลาที่นั่งก็ให้เอาหมอนเล็กๆ มารองตรงหลัง ระหว่างพนักกับหลังของเรา จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้
นอกจากการเกิด นั่ง และนอนแล้ว รองเท้าก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดหลัง หากว่าเราอยู่ในบ้านก็ควรถอดรองเท้าเดินเสียบ้าง หรือไม่ก็ใส่รองเท้าที่ไม่มีส้น จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
- ตะคริว
ตะคริวก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่คนท้องมักจะเป็นกันบ่อย ตะคริวในคนท้องสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการที่ตัวลูกไปกดทับเส้นเลือดทำให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณขาไม่ดีพอ ทำให้เป็นตะคริวได้
อาการที่ทำให้เรารู้ได้ว่าเราเป็นตะคริวก็คือ เราจะมีอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณน่องของเรา วิธีแก้ก็คือ ให้วางขาพาดเอาไว้ที่ขอบเตียง หรือว่าที่สูงประมาณ 25 เซนติเมตร แล้วก็ให้ยกข้อเท้าขึ้น เกร็งให้รู้สึกตึงๆ ที่หลังขา
อีกวิธีหนึ่ง ก็ให้บุคคลรอบข้างช่วย โดยที่ให้จับขาของเรายืดออก จากนั้นก็ให้เอามือจับส้นเท้า แล้วก็ผลักส้นเท้าเข้าหาตัวเราช้าๆ โดยห้ามไม่ให้เข่างอ โดยคนที่ทำอาจจะใช้ข้อมือกดเข่าเอาไว้ก็ได้
อาการตะคริวนี้ไม่สามารถที่จะแก้ไขที่ต้นเหตุได้ เพราะในบางครั้งสาเหตุก็ไม่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไรกันแน่ วิธีที่ดีที่สุดก็คงจะเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุอย่างที่กล่าวไปข้างต้น
- เส้นเลือดขอด
คงไม่มีใครที่อยากจะมีเส้นเลือดขอดอยู่ที่ขาของเรา เพราะนอกจากจะไม่สวยงามแล้ว ยังเป็นผลร้ายต่อสุขภาพอีกต่างหาก
สาเหตุของเส้นเลือดขอดในสตรีที่มีครรภ์ มีสาเหตุมาจากหลายประการ คือ
- การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในเลือดที่มีผลต่อผนังของหลอดเลือดของเรา ทำให้การไหลเวียนของเลือดและความเข้มข้นของเลือดเปลี่ยนไป
- มดลูกขยายใหญ่ขึ้น จนไปกดทับเส้นเลือดดำ ที่นำเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ ทำให้เลือดคั่งค้างอยู่ และทำให้ผนังของหลอดเลือดยืดหยุ่นน้อยลง
โดยมากเส้นเลือดขอดในผู้หญิงที่ตั้งท้องพบมากบริเวณหลังเท้าและหลังข้อพับเข่า ซึ่งนอกจากจะมีเส้นเลือดบวมนูนขึ้นมาให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้ว ยังมีอาการปวดขาร่วมด้วย
วิธีรักษาและป้องกันโรคเส้นเลือดขอดมีหลายวิธี อย่างเช่น
- เวลานอนให้เอาหมอนมารองขา ให้ส่วนของขาและเท้าสูงกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เพื่อให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น
- ไม่อยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งนานๆ อย่างเช่น ไม่ยืนอยู่กับที่นานๆ ควรที่จะเดินไปเดินมาบ้าง เพื่อให้เลือดหมุนเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น
- ไม่นั่งงอขาหรือพับขานานๆ เพราะอาจจะเป็นต้นเหตุของการเป็นเส้นเลือดขอดได้ ทางที่ดีควรนั่งยืดขาออก เพื่อให้เลือดหมุนเวียนสะดวกที่สุด
การนวดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น และลดอาการการเป็นเส้นเลือดขอดได้ โดยที่เราสามารถทำเองได้ง่ายๆ โดยใช้มือบีบกล้ามเนื้อน่อง เพราะจะไปกระตุ้นการทำงานของเลือดให้ไหลเวียนดีขึ้น
เราอาจจะกังวลเรื่องของเส้นเลือดขอดว่าจะทำให้ขาของเราไม่สวย และจะเกิดปัญหาทีหลัง แต่ว่าเราก็สามารรถป้องกันและแก้ไขได้ โดยวิธีที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งนอกจากนี้ในปัจจุบันก็มีครีมที่ทาแก้เส้นเลือดขอดในระยะเริ่มต้นมาทา เพื่อช่วยรักษาอีกทางหนึ่งด้วย
- ปวดข้อ
อาการปวดร้าวบริเวณตามข้อต่อต่างๆ ก็เป็นอีกโรคที่เกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่ตั้งท้อง เพราะว่าในระหว่างที่ท้องของเราขยายตัวเพื่อรับน้ำหนักเด็ก บริเวณต่างๆ ของร่างกายก็ปรับตัวรับน้ำหนักของเด็กด้วย
โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอาการเจ็บปวดร้าวบริเวณก้นกบ สะโพก และหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่เอ็นกล้ามเนื้อและข้อต่อขยายตัวรับน้ำหนักเด็ก ซึ่งเราจะได้รับผลกระทบจากการขยายตัวนี้ ซึ่งในบางคนก็อาจจะอาการหนักกว่าคนอื่น เนื่องจากการใช้ชีวิตประจำวันที่ผิดไปในการนั่ง ยืน ซึ่งอาจจะไม่ถูกตามหลัก ทำให้ยิ่งปวดหลัง สะโพก และก้นกบมากยิ่งขึ้น
เราจะพบว่าอาการปวดตามข้อเช่นนี้ แต่ละคนจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
- อายุ
- ความแข็งแรงของร่างกาย
- บุคลิกภาพ
แต่ละคนก็จะมีอาการปวดข้อมากน้อยแตกต่างกันไป ซึ่งอาการเหล่านี้จะกำเริบมากขึ้นเมื่อท้องเริ่มแก่ เรื่องจากท้องของเราขยายตัวขึ้น ทำให้หลังแอ่นมากขึ้น
ปัจจุบันมีเสื้อพยุงหน้าท้อง (Maternity support) ซึ่งสามารถช่วยพยุงน้ำหนักของท้องของเราไม่ให้หลังรับภาระมากเกินไป ทำให้ไม่ต้องทนกับอาการปวดมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้เสื้อพยุงหน้าท้องก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหมอว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด
- ท้องผูก
อาการท้องผูกจะเป็นมากกันในผู้หญิงที่มีครรภ์ ซึ่งนอกจากอาการท้องผูกมาแล้ว ก็ยังมีอาการของท้องอืดท้องเฟ้อ มีลมในกระเพาะมากกว่าปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้จะทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัว นอกจากนี้ยังทำให้สุขภาพแย่ เนื่องจากของเสียยังติดค้างอยู่ในร่างกายอีกด้วย
วิธีแก้ของอาการท้องผูกก็เหมือนกับการแก้ปัญหาอาการท้องผูกของคนทั่วไป ก็คือ การกินอาหารที่มีเส้นใย (ไฟเบอร์) สูง อาหารเหล่านี้ก็เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ยังไม่ขัดสี และให้งดอาหารจำพวกไขมัน ของหมักดอง ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก และมีปัญหาด้านการขับถ่าย ส่วนเครื่องดื่มที่มีแก๊สอย่างน้ำอัดลม โซดา ก็ให้งดเสีย เพราะจะเป็นการเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหารอีกด้วย
หากเรามีอาการท้องผูกและมีลมในกระเพาะมาก ให้เราไปปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์จ่ายยาให้ เพราะหากว่าเรากินยาเอง หรือว่าซื้อเองกินเอง ยาบางตัวอาจจะมีผลต่อลูกน้อยของเราก็เป็นได้
- ปวดศีรษะ
สตรีมีครรภ์จะปวดหัวได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป ไม่ว่าจะมีเรื่องเครียดไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ก็สามารถที่จะทำให้ปวดหัวได้ง่ายเสมอ ซึ่งอาการปวดหัวอาจจะมีสาเหตุง่ายๆ อย่างที่เราคาดไม่ถึงอย่างเช่น การใช้สายตามากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ หรือว่าการเย็บผ้า ความเครียดจากที่ทำงาน เป็นต้น
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าอาการปวดหัวในผู้หญิงที่ตั้งท้องมีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อย ดังนั้นเมื่อเราปวดหัวก็มีวิธีแก้ไขดังนี้
- ลุกเดินไปมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เวลาที่เรารู้สึกเครียดหรือว่าปวดหัว การลุกขึ้นไปมองต้นไม้สีเขียวๆ ดอกไม้สีสวยๆ หรือว่าดูทิวทัศน์ที่แปลกตาไป ก็ช่วยทำให้เราลดความตึงเครียดได้มากทีเดียว
- นอนพักหลับตา การนอนพักหลับตาไม่ใช่เพียงการพักสวยตาเท่านั้น แต่เป็นการพักสมอง พักอารมณ์ของเรา ที่จะต้องเผชิญกับปัญหาหรือว่าอะไรหลายๆ อย่าง เมื่อเราเครียดหรือใช้สายตามากเกินไป การนอนพักสายตาสักครู่ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวของเราได้เป็นอย่างดี
- ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบหน้าผาก ความเย็นจะช่วยทำให้ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและระบบประสาทคลายตัว และทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายขึ้น ดังนั้นหากว่าเรารู้สึกเครียดก็ให้เอาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นมาวางประคบบริเวณหน้าผาก ขณะที่เรานอนหรือนั่งในท่าที่เราสบายที่สุด
- นวดบริเวณขมับเบาๆ การนวดบริเวณขมับเบาๆ ก็เป็นการช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้เช่นกัน โดยที่ใช้หัวแม่มือคลึงประมาณ 4-5 รอบ จะช่วยบรรเทาอาการได้ หรือไม่ก็ให้ใช้หัวแม่มือคลึงจากหัวคิ้วมาหางคิ้ว ก็จะช่วยได้เหมือนกัน
วิธีที่กล่าวมานั้นสามารถบรรเทาอาการปวดหัวข้างต้นได้ แต่หากว่ามีอาการปวดหัวที่รุนแรง ให้เรารีบปรึกษาแพทย์ เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
อนึ่ง หากว่าเรามีอาการบวมทั้งตัว และมีอาการของความดันเลือดสูงร่วมด้วยแล้วละก็ ให้เราปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพราะอาจจะมีอาการของครรภ์เป็นพิษร่วมด้วยก็ได้
- ริดสีดวงทวาร
โรคริดสีดวงทวาร เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ซึ่งในสตรีมีครรภ์เกิดขึ้นได้จากสาเหตุ 2 ประการ คือ
- มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นไปกดทับเส้นเลือดบริเวณกระดูกเชิงกราน ทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี เป็นสาเหตุของโรคได้
- ท้องผูก ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใจ หากว่าเราเป็นโรคนี้จากสาเหตุแรกแล้วละก็ ก็ไม่ต้องวิตกกังวลไป เพราะหลังจากที่เราคลอด อาการของริดสีดวงก็จะหายไปเอง เนื่องจากไม่มีมดลูกมากดทับเส้นเลือด จึงไม่ต้องวิตกกังวลไป
ส่วนสาเหตุที่ 2 สามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยการพยายามกินอาหารที่มีเส้นใยสูง เพื่อป้องกันอาการท้องผูกอันเป็นสาเหตุของโรค ดื่มน้ำตามมากๆ และถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลามากขึ้น
วิธีบรรเทาอาการและรักษาโรคริดสีดวงทวารข้างต้น สามารถทำได้โดยให้เรานั่งแช่ในน้ำที่อุ่นจัดๆ สักประมาณวันละ 5-10 นาที ส่วนหากจำเป็นที่จะต้องใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ทุกครั้ง เพราะอาจจะเป็นอันตรายถึงลูกในท้องได้
- เลือดออกขณะตั้งครรภ์
การที่เลือดออกขณะตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่คุณแม่คงจะรู้สึกแย่และหวาดกลัว เนื่องมาจากการที่เลือดออกทางช่องคลอดนั้น อาจจะเป็นสาเหตุมาจากการแท้งหรือท้องนอกมดลูก คุณแม่ทั้งหลายจึงต้องระมัดระวังในเรื่องดังกล่าวอย่างมาก
การที่เลือดออกทางช่องคลอดก็มีทั้งแบบที่ต้องไปหาทันทีไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน และแบบที่รอหาหมอในยามกลางวันได้ หากว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดในตอนกลางคืน
หากว่ามีเลือดออกและมีอาการปวดท้องร่วมด้วย อย่างนี้แสดงว่าเป็นอาการที่บ่งบอกถึงอันตรายต่อลูกในท้อง ให้ไปหาหมอทันที ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือว่าเวลาใดก็ตาม เพราะอาจจะแท้งได้
กรณีที่สอง เป็นกรณีที่เลือดออกแตะๆ กางเกง ไม่ได้มีอาการปวดท้องร่วม แสดงว่าอาการไม่หนักหนามาก สามารถรอเวลาได้สักพักแต่ก็ห้ามนาน เพราะอาจจะเป็นอาการเริ่มแรกก็ได้ จึงควรไปตรวจรักษาก่อนที่จะสายเกินไป
ระยะเวลาที่มีเลือดออกทางช่องคลอดก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความอันตรายเช่นกัน หากว่ามีเลือดออกในช่วงระยะเวลาก่อนที่อายุครรภ์จะมีอายุ 28 สัปดาห์ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะเป็นการแท้ง แต่หากเลือดออกหลังจากที่อายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์เรียกว่า ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดก่อนคลอด และหากว่ามีมูกเลือดออกมาด้วย ตอนที่ใกล้ถึงกำหนดคลอด แสดงว่าเป็นอาการที่เตือนว่า ลูกน้อยของเราจะออกมาลืมตาดูโลกแล้ว
แต่ในบางครั้ง การที่เลือดออกทางช่องคลอดก็ไม่ได้เป็นสัญญาณของอันตรายเสมอไป เพราะอาจจะเป็นเลือดล้างหน้าก็ได้
เลือดล้างหน้าเป็นอาการที่ไม่ได้เป็นเรื่องอันตรายแต่อย่างใด จะมีลักษณะคล้ายกับประจำเดือน เกิดจากที่รังไข่ยังทำหน้าที่ผลิตไข่ตามปกติ ทั้งๆ ที่ท้องแล้ว ซึ่งปกติแล้วฮอร์โมนของการตั้งครรภ์จะไปหยุดการผลิตไข่ของรังไข่ ซึ่งสันนิษฐานกันว่า เกิดจากการที่ร่างกายของเราปฏิเสธที่จะยอมรับว่าท้อง หรือว่ายงไม่อยากที่จะมีลูกเลยทำให้รังไข่ยังผลิตไข่ออกมา
แต่อย่างไรก็ดี การที่มีเลือดออกมาทางช่องคลอด เราก็ควรจะรีบไปให้หมอตรวจเช็คอาการทันที แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่อร้ายแรงเสทอไป แต่หากไม่ไปตรวจให้ละเอียดแล้ว ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้