เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์
แน่นอนว่าก่อนที่เราจะตั้งครรภ์ เราจะต้องเตรียมการอย่างดีสำหรับลูกน้อย หรือที่เรียกว่าการวางแผนครอบครัวนั่นเอง ซึ่งหากเราคิดว่าเราพร้อมแล้วที่จะมีลูกกับเขาสักคน เราก็ควรที่จะต้องเตรียมร่างกายและใจให้พร้อมก่อน เพราะหากว่าเราไม่พร้อมแล้วปัญหาก็จะเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
สิ่งแรกที่เราต้องเตรียมการก็คือเรื่องร่างกาย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะของสุขภาพของแม่เท่านั้น แต่สุขภาพของพ่อก็สำคัญ เพราะว่าลูกจะเกิดมาได้ก็เพราะพ่อกับแม่ทั้งสองคน ซึ่งสิ่งที่ควรปฏิบัติตั้งแต่ก่อนที่จะปล่อยให้ตั้งท้องขึ้นมามีดังต่อไปนี้
- ตรวจสุขภาพ
อย่างที่บอกไปแล้วว่าสุขภาพของพ่อและแม่มีส่วนสำคัญต่อลูกในท้อง ดังนั้นก็ควรที่จะตรวจสุขภาพก่อนจะปล่อยให้มีลูก ซึ่งบางทีเราอาจจะไม่รู้ว่าเราเป็นโรคอะไรร้ายแรง หรืออาจจะเป็นโรคที่อาจจะไม่มีอันตรายต่อเรา แต่กับลูกในท้องก็อาจทำให้มีปัญหาขึ้นมาได้ ดังนั้นการตรวจสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ทุกคนควรที่จะไปตรวจก่อนที่จะมีลูก
โรคหัดเยอรมัน ก็เป็นโรคหนึ่งที่เป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน เพราะหากว่าคนเป็นแม่เป็นหัดเยอรมันตอนที่จะตั้งครรภ์ ลูกก็มีโอกาสที่จะพิการมากกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป ซึ่งหากว่าเราจะปล่อยให้ท้อง เราก็ควรจะฉีดวัคซีนป้องกันเอาไว้อย่างน้อย 3 เดือน
โรคทางพันธุกรรมก็คือ โรคที่ติดต่อทางยีน พูดง่ายๆ ก็คือสามารถติดต่อจากรุ่นพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกและรุ่นหลานได้ ก่อนที่จะตั้งท้องเราก็ควรจะต้องดูว่าครอบครัวของทั้งพ่อและแม่มีโรคอะไรที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โรคที่ว่าก็อย่างเช่น โรคปัญญาอ่อน กล้ามเนื้อพิการ
โรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับฟัน ก่อนที่จะตั้งครรภ์ควรที่จะตรวจสุขภาพฟันให้มีสุขภาพได้ เพราะว่าในยามที่ตั้งครรภ์ ลูกจะดูดเอาแคลเซียมที่บำรุงกระดูกและฟันของแม่ไป ทำให้แม่ฟันผุ บวมและอักเสบง่าย แต่กระนั้นถึงแม้ว่าเราจะดูแลรักษาอย่างดี เราก็สามารถฟันผุระหว่างที่ตั้งท้องได้อยู่ดี หากว่าเราไม่ได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ ซึ่งแหล่งที่อุดมไปด้วยแคลเซียมก็คือ นม ระหว่างตั้งท้องเราจึงควรดื่มนมที่อุ่นที่อุดมไปด้วยแคลเซียมมากๆ
- ระวังเรื่องยา
ยาบางชนิดมีผลต่อเด็ก ดังนั้นการกินยาชนิดใดชนิดหนึ่งนานๆ อาจจะมีการสะสมในร่างกายได้ ยาที่มีผลต่อเด็กก็อย่างเช่น ยาระงับความเครียด ยาระงับประสาท ยาโรคกระเพาะ ยาแก้แพ้ ยารักษาสิว ยาประภทสเตอรอยด์ ยาแก้โรคกระเพาะหืด เบาหวาน เป็นต้น
ดังนั้นหากว่าเราเป็นโรคประจำตัว หรือว่ากินยาชนิดใดประจำก็ควรจะนำยาที่กินเป็นประจำไปปรึกษาแพทย์ว่ามีอันตรายต่อเด็กไหมหากว่าเรามีเด็ก ซึ่งแพทย์ก็จะให้คำแนะนำแก่เรา และหากว่ายาดังกล่าวมีผลต่อลูกของเรา แพทย์ก็จะเปลี่ยนยาให้