ปัจจุบันนี้เราสามารถทราบเพศ และลักษณะของลูกได้จากการอัลตราซาวนด์ ซึ่งก็มีพ่อแม่ใจร้อนหลายๆ คู่ อยากจะทราบว่าลูกของเราเพศหญิงหรือว่าเพศชาย เพื่อที่จะซื้อของหรือว่าตั้งชื่อให้ตรงกับเพศ ซึ่งก็มีหลายๆ เหตุผลกันไป สำหรับการทำอัลตราซาวนด์
- การทำอัลตราซาวนด์คืออะไร?
การทำอัลตราซาวนด์ หรือภาษาอังกฤษคือ Ultrasound คือวิธีการสร้างภาพของทารกที่อยู่ในท้อง โดยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงออกไปจากหัวตรวจ ซึ่งคลื่นเสียงนี้จะไปกระทบกับเนื้อเยื่อ ซึ่งเนื้อเยื่อแต่ละแห่งก็จะสะท้อนเสียงกลับมาแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อคลื่นเสียงสะท้อนออกมา เครื่องก็จะอ่านค่าซึ่งบ่งบอกความหนาแน่นและความลึกของเนื้อเยื่อ จากนั้นก็ประมวลเป็นภาพออกมา
การทำอัลตราซาวนด์จะทำให้เราสามารถเห็นรูปของลูกในท้องของเราได้คร่าวๆ ซึ่งการทำอัลตราซาวนด์ในปัจจุบันก็มีทั้ง 2 มิติ (แบบเก่า) หรือแบบ 3 มิติ (แบบใหม่) ซึ่งสามารถทำให้เห็นความเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นกว่าเดิม
- ประโยชน์ของการทำอัลตราซาวนด์
แต่เดิมนั้นการทำอัลตราซาวนด์ทำขึ้นเพื่อค้นหาความผิดปกติของทารก หรือว่าเพื่อตรวจหาเพศของทารกที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคทางพันธุกรรมหากว่าเป็นเพศหญิงหรือว่าชาย โดยอัลตราซาวนด์จะมีประโยชน์ดังนี้
- ตรวจความผิดปกติของร่างกายลูกที่อยู่ในท้อง เราสามารถดูได้ว่าลูกของเรามีความผิดปกติทางร่างกายตรงไหนบ้างหรือเปล่าจากอัลตราซาวนด์ โดยการอัลตราซาวนด์จะทำให้เราเห็นแทบทุกส่วนของร่างกายของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นส่วนของกะโหลกศีรษะ เนื้อสมอง โครงกระดูก แขน ขา ร่องอก เนื้อปวด หัวใจ ผนังหน้าท้อง อวัยวะหลักภายในช่องท้อง ได้แก่ ตับ ไต ความผิดปกติของลำไส้บางชนิด กระเพาะปัสสาวะ ฯลฯ ซึ่งหากว่าเราอัลตราซาวนด์ก็จะสามารถทราบถึงความผิดปกติดังกล่าว และจะได้ทำการแก้ไขต่อไป
- ช่วยกำหนดอายุของลูกที่อยู่ในท้อง ปัจจุบันการคำนวณอายุครรภ์นั้น เป็นการคำนวณคร่าวๆ เพราะว่าจะใช้ไม่ได้ผลกับแม่ที่จำประจำเดือนครั้งสุดท้ายของตัวเองไม่ได้ กับแม่ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ซึ่งการอัลตราซาวนด์จะช่วยทำให้เราสามารถกำหนดอายุครรภ์ได้อย่างแน่นอน ซึ่งการกำหนดอายุครรภ์ได้อย่างแน่นอนจะช่วยทำให้การดูแลและตรวจครรภ์ในช่วงใกล้คลอดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยป้องกันการตั้งครรภ์นานกว่ากำหนด ซึ่งอาจจะมีผลเสียต่อสุขภาพของลูกน้อยของเราได้
- ทำให้เกิดความรักความผูกพันมากขึ้น แม้ว่าแม่และลูกจะมีความรักความผูกพักกัน โดยผ่านสายรกอยู่แล้ว แต่การที่เราได้เห็นลูกในท้องก็จะช่วยทำให้เรารู้สึกรักและผูกพันกับลูกมากขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นการสร้างสายสัมพันธ์อันดีระหว่างแม่กับลูกอีกด้วย และแน่นอนว่ารวมไปถึงคุณพ่อ และบุคคลในครอบครัว
แม้ว่าการอัลตราซาวนด์จะเคยมีการกังวลกันว่าจะเกิดอันตรายแก่เด็กที่เกิดมา แต่ว่าในปัจจุบันที่มีการใช้มากว่า 30 กว่าปี ก็ยังไม่ปรากฏผลว่าเกิดอันตรายใดๆ และทางสถาบันของทางสหรัฐอเมริกาก็ได้มีการรับรองว่าไม่เกิดอันตรายใดๆ ต่อเด็กในท้องแต่อย่างไรก็ดี เราจะต้องรอดูผลกระทบไปอีกสักระยะ เพราะการดูผลกระทบนี้จะต้องดูเท่ากับระยะเวลา 1 ชั่วชีวิตคนเลยทีเดียว
- ข้อจำกัดของการทำอัลตราซาวนด์
แม้ว่าการอัลตราซาวนด์จะช่วยดูว่าเด็กมีความผิดปกติตรงที่ไหนบ้างหรือเปล่า แต่การอัลตราซาวน์ก็มีข้อจำกัดในการดูความผิดปกติเหมือนกัน เพราะความผิดปกติบางอย่าง เราไม่สามารถทราบได้จากการอัลตราซาวนด์ ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวเป็นความผิดปกติในอวัยวะเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งอวัยวะดังกล่าวจะมีขนาดเล็กมาก จนทำให้เราไม่สามารถเห็นรายละเอียดได้ เนื่องจากการอัลตราซาวนด์เป็นการดูโครงสร้างหลักของเด็กเท่านั้น ไม่สามารถดูลึกลงไปในรายละเอียด นอกจากนั้นการอัลตราซาวนด์ยังไม่สามารถบอกถึงการทำงานที่ผิดปกติของร่างกายอีกด้วย
ตัวอย่างโรคที่อัลตราซาวนด์ไม่สามารถที่จะตรวจพบได้ คือ โรคหัวใจพิการบางประเภท โรคออทิสติก เป็นต้น
- การอัลตราซาวนด์แบบ 3 มิติ และ 4 มิติ
แต่ก่อนนั้นการอัลตราซาวนด์ แม้ว่าจะเป็นการสะท้อนคลื่นของเสียงก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เห็นความลึกของลูกน้อย ซึ่งก็ทำให้เราเห็นภาพเสมือนจริงของเด็กเท่านั้น คือเห็นเพียงแค่ 2 มิติ คือมิติที่ลึกและมิติที่กว้าง
ปัจจุบันนี้ เราสามารถเห็นลูกน้อยที่อยู่ในท้องของเราแบบ 3 มิติ และ 4 มิติแล้ว คือเห็นได้ทั้งความกว้าง ความยาว และยังเพิ่มความลึกอีกด้วย ส่วนในมิติที่ 4 นั่นก็คือเวลานั่นเอง โดยการทำเป็นภาพต่อเนื่องเรียงตัวกัน ทำให้เราเห็นภาพลูกของเรากำลังเคลื่อนไหว แสดงอากัปกิริยาอยู่ในท้อง ไม่ว่าจะเป็นการหันหน้า เคลื่อนไหวนิ้ว หาว สะอึก ยกแขน ขยับนิ้ว เป็นต้น
การอัลตราซาวนด์แบบใหม่นี้มีความละเอียดเพิ่มขึ้นจากแบบเก่า จึงมีประโยชน์ในการตรวจสิ่งปกติได้เพิ่มเติม โดยสามารถที่จะตรวจความผิดปกติจากความผิดปกติบริเวณพื้นผิวได้ จึงทำให้ทราบความผิดปกติของกล้ามเนื้อต่างๆ ตัวอย่างเช่น โรคปากแหว่งเพดานโหว่ โรคเนื้องอก เป็นต้น
การอัลตราซาวนด์ถือว่าเป็นการตรวจหาความผิดปกติของทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ดีทางหนึ่ง ซึ่งหากว่าเกิดความผิดปกติขึ้น เราก็จะสามารถช่วยแก้ไขได้ทันที เพราะเราสามารถที่จะทราบความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที